ร้าน รัชชัยพระเครื่อง
www.ratchai.99wat.com
092-2947899
0922947899

จัดแสดง

"พระเครื่อง เครื่องรางหลวงพ่อสังข์ สุริโย วัดนากันตม"  

และคณาจารย์เกจิสายอีสานใต้ 

โดย  "ครูเบียร์  กันทรลักษ์"  ศิษย์วัดนากันตม

 

 
ประวัติ หลวงพ่อสังข์ สุริโย วัดนากันตม


  ส่งข้อความ

ชื่อร้านค้า
รัชชัยพระเครื่อง
โดย
เบียร์กันทรลักษ์ ศิษย์วัดนากันตม
ประเภทพระเครื่อง
พระเกจิทั่วไป
ชื่อพระ
ประวัติ หลวงพ่อสังข์ สุริโย วัดนากันตม
รายละเอียด
ประวัติการสร้างภายในวัดนากันตม
หลวงพ่อสังข์ สุริโย นามเดิมว่า สังข์ นามสกุล สดับศรี เกิดเมื่อ 30 มกราคม 2451 ที่บ้าน คำเมย ตำบลดูน อำเภอ กันทรารมย์จังหวัด ศรีสะเกษ คุณพ่อ ชื่อ เหลา คุณ แม่ชื่อ สิงห์ สดับศรี มีพี่น้องด้วยกัน 4คน หลวงพ่อ สังข์ท่านเป็นบุตรคนโต พ่อแม่ของท่านประกอบอาชีพทำนาทำไร่ ต่อมาครอบครัวของท่านได้ย้ายมาอยู่มี บ้าน นากันตม หลังจากหลวงพ่อได้บวชเป็นพระสงฆ์แล้ว เมื่อเติบโตเข้าเรียนได้ก็เรียนหนังสือที่วัด จนอ่านออกเขียนได้พอจบก็ช่วยก็ช่วยเหลือพ่อแม่ของท่านประกอบอาชีพในการทำไร่ทำนาจนท่านอายุได้ 17 ปี พ่อแม่ของท่านก็พาไปฝากเจ้าอาวาสให้ท่านบวชเป็นสามเณร ด้วยตอนท่านอายุ 14 ปี ท่านป่วย พ่อแม่ของท่านได้บนเอาไว้ว่า ถ้าหายจากโรคจะพาไปบวชเพราะตอนนั้นท่านเกือบจะถึงแก่กรรมแล้วด้วยพาไข้ป่า ในที่สุดก็หายจึงพาไปบวชเป็นสามเณร บวชอยู่สองปีก็ลาสึกออกมาช่วยเหลือพ่อแม่ของท่านประกอบอาชีพทำนา
ชีวิตในช่วงนี้ท่านกลับหันมาสนใจในด้านวิชาอาคม วิชาทางด้านคงกระพันชาตรี ทางมหานิยม แต่ในที่สุดท่านก็พบความจริงคะ อนิจจัง แต่ก็พยายามเสาะหาพระอาจารย์เล่าเรียนได้มาเหมือนกัน แต่ไม่มากมายอะไร คิดว่าเมื่อบวชเรียนแล้วจะก็หาพระอาจารย์ที่ดีขอเรียนวิชาเอาไว้ให้จงได้ จนท่านมีอายุครบจึงได้บวชเป็นพระที่วัดบ้านบก อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งมีท่านพระอาจารย์โส เป็นพระอุปัชฌาย์ ภายหลังอุปสมบทได้รับฉายาว่า สุริโย” ศึกษาธรรมะ ปฎิบัติรับใช้พระอาจารย์โสอยู่สามพรรษา จึงเดินทางไปเรียนวิชากับพระอาจารย์อ้วน วัดหนองดินดำ พระอาจารย์อ้วนรูปนี้ ดังที่บอกไว้แต่แรกแล้วว่าเป็นพระที่เรืองวิชามาก สามารถเดินบิณฑบาตได้ไกลๆ
ในปี พ.ศ. 2478 ท่านเดินทางไปสร้างวัดนากันตม แต่ก็ยังไปหาพระอาจารย์อ้วนเสมอๆ คอยช่วยงานก่อสร้างและซ่อมแซมวัดหนองดินดำจนสำเร็จสำหรับที่วัดนากันตมนั้น ท่านกสร้างของท่านตลอดมา และที่สำคัญมากคือ ท่านได้ทำการปลูกต้นไม้นานาชนิดที่ให้ผลผลิต มีทั้งมะม่วงพันธุ์ต่างๆ ลำไย มะพร้าว น้อยหนา มะปราง ที่ใครรับประทานกันได้ เมื่อออกผลมาแล้วต้องเก็บให้พระฉันก่อนแล้วก็แบ่งปันให้ชาวบ้านไปรับประทานกัน และยังแนะนำให้ชาวบ้านได้ปลูกกันทุกครอบครัว เพื่อจะได้ผลไว้ให้ลูกหลานได้รับประทานในยามว่างจากการงานการก่อสร้างท่านจะเดินธุดงค์ออกไปหาที่สงบเจริญภาวนา กรรมฐานในย่านกันทรลักษณ์ เขาพระวิหารแถบสุรินทร์ ท่านได้พบคนมีวิชาทดลองเสมอและท่านก็สามารถแก้ไขได้ เคยมีชาวบ้านออกไปหาของป่าหลงป่าสามวันหาทางออกไม่ได้หลวงพ่อสังข์ท่านได้พา ออกมา ท่านบอกว่า แถบนั้นที่หลงอย่าเข้าไป ใต้พื้นดินมันมีของอาถรรพ์ผีแรงมาก ใครไปดีก็ดีไป ใครไม่ดีบุญเก่าไม่มีมันเอามึงตายแน่ ชาวบ้านที่หลวงพ่อพาออกมาพูดกันว่า เขาหลงป่าอยู่สามวันไม่ได้กินข้าวเลย แต่หลวงพ่อท่านอยู่ได้โดยที่ไม่ต้องฉัน?ข้าว แสดงว่าท่านต้องเป็นผู้วิเศษ เป็นผู้สำเร็จ ตอนท่านพาชาวบ้านออกจากป่านั้นท่านได้ปัสสาวะที่โคนกอไผ่ใกล้ทางเดิน มีช้างป่าติดตามมาโขลงใหญ่ แต่พอถึงต้นไผ่กอนั้นมันหลีกทางไปและไม่ติดตามเลย ตอนหลังมีการทำถนนใกล้ทางเดินนั้น ชาวบ้านจำได้ว่าท่านเคยปัสสาวะที่โคนไผ่ ต้นไผ่กอนั้นขึ้นมาเยอะ แต่ที่น่าอัศจรรย์มากคือ เป็นยอดด้วนท่านได้สั่งให้ชาวบ้านไปตัดไผ่ยอดด้วนนั้นมา แล้วท่านก็ให้ชาวบ้านตัดขนาดต่างๆ กันทำตะกรุด โดยการที่หลวงพ่อเป็นผู้จาระอักขระต่างๆ แล้วใครมาขอถึงจะได้ ตอนไปขอต้องมีดอกไม้ธูปเทียนเงินค่าครูหกสลึง ตะกรุดไผ่ยอดด้วนนี้มีคุณวิเศษมากทางคงกระพันชาตรี ทางป้องกันอันตราย ทั้งมหานิยม นอกจากไผ่ด้วนแล้วยังมีไผ่ฟ้าฝ่ากอ เมื่อฟ้าผ่ากอไผ่จะไหม้ แต่จะมีต้นไผ่ขึ้นมา ท่านก็จะไปดูแล้วให้ชาวบ้านตัดมาทำตะกรุดเหมือนกัน เหมือไผ่ยอดด้วนของขลังที่สร้างชื่อเสียงให้หลวงพ่อดังอย่างมากมีหลายอย่างด้วยกัน กุมารทองของท่านดังและขลังไม้แพ้หลวงพ่อเต๋ คงทอง วัดสามง่าม นครปฐม เลยครับ และอีกอย่างหนึ่งคือ น้ำมันแก้ว ท่านสกัดจากว่านหลายชนิดเคี่ยวจนใสและหอม ท่านเอามาเสกจนเดือดและใช้ลงกระหม่อม ลงหน้าผาก ลงที่หลังมือ เมื่อลงเสร็จแล้วท่านจะบอกให้กลับบ้านทันที หากต้องการอะไรหรือมีธุระอะไรให้ไปพบวันอื่น น้ำมันแก้วของท่านมีคุณวิเศษอย่างมากในด้านแคล้วคลาดอันตราย ทางเหนียว ทางเมตตา ไปไหนจะไม่มีอันตราย
วัวธนูของหลวงพ่อก็ดังไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า หลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทอง นครปฐม ตอนหังศิษย์ของหลวงพ่อน้อยท่านก็เป็นพระชาวลาวเหมือนกันเลย หลวงพ่อน้อยท่านก็เป็นพระชาวลาวเหมือนกัน อีกทั้งการขับไล่ภูตผีที่สิงคน คนถูกคุณไสยไปรักษากับท่านจะหายทุกราย นี่แหละชื่อเสียงของท่าน หลวงพ่อได้รับนิมนต์ไปร่วมงานปลุกเสกพระเครื่องที่วัดกัลยาณ์ ฝั่งธนบุรี เมื่อปี พ.ศ 2500 มีพระอาจารย์ดังๆ จากทั่วประเทศได้กว่าพันรูป นอกจากพิธีนี้แล้วพิธีในกรุงเทพฯ อีกหลายพิธีที่ท่านได้รับนิมนต์ให้ไปร่วม แม้แต่หลวงพ่อปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลียังนับถือท่านเลย ยกย่องเสมอๆ อีกทั้งหลวงปู่เทียน วัดโบสถ์ จังหวัดปทุมธานี ก็ยกย่องท่านหลวงพ่อลมูล วัดเสด็จ ศิษย์ของหลวงพ่อเทียน ท่านได้พบหลวงพ่อสังข์ในงานปลุกเสกพระเครื่องที่วัดระฆังและอีกหลายวัดเห็น อภินิหารของท่านและเคยพบพระลองวิชากับท่าน องค์หนึ่ง พระรูปนั้นลองวิชาหลวงพ่อสังข์ แต่ทำอะไรหลวงพ่อท่านไม่ได้ ซ้ำร้ายต้องเข้าไปขอขมาท่าน ทำให้ครั้งนั้นหลวงพ่อลมูลต้องเข้าไปกราบฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านและติดตาม ท่านไปถึงวัดนากันตม ศรีษะเกษ ได้ขอเรียนวิชาการทำกุมารทองและทางด้านเมตตามหานิยม ทางสีผึ้งและหลวงพ่อลมูลท่านได้สร้างพระเครื่องเนื้อผงเป็นพระสมเด็จพิมพ์ ใหญ่สามชั้น ด้านหน้าเหมือนกันคือตอนนั้นได้สร้างถวายหลวงปู่เทียน ถวายหลวงปู่โต๊ะและหลวงพ่อสังข์ เนื้อเหมือนกัน ด้านหน้าเหมือนกันผิดกันแต่ด้านเหลังเท่านั้นเอง พระเครื่องที่หลวงพ่อลมูลสร้างขั้นนั้นภายหลังได้รับความนิยม คนเดินทางไปขอกับหลวงพ่อท่านบอกว่าไม่มีแล้ว ให้คนไปจนหมดตั้งแต่สมัยที่พระเครื่องยังไม่มีราคาค่านิยมอะไร จะให้องค์ละหมื่นสองหมื่นบาทท่านก็ไม่มี ของขลังที่วิเศษอีกอย่างหนึ่งคือ ลูกประคำ ลูกประคำของท่านสร้างขึ้นจากผงพุธคุณ เอาผงต่าง ๆ ร่วมทั้งว่านยา ว่านทั้งร้อยแปดมาบดผสมจนละเอียด เขียนสูตรเลขยันต์ต่างๆ แล้วปั้นเป็นลูกกลมๆ เวลาปั้นจะว่าคาถาไปด้วยตลอดเวลา เวลาท่านมากรุงเทพฯ ไม่ว่าจะมางานปลุกเสกพระเครื่อง หรือใครนิมนต์มาก็ตาม หลวงพ่อสังข์ท่านมักเดินทางไปพักที่วัดสระเกศ กุฎิของท่านพระอาจารย์ บุญมี ปภัสโร ท่านเป็นศิษย์ของหลวงพ่อสังข์ จะเป็นมีดหมอลูกประคำ เหล็กจาร ด้ามทำด้วยงาช้างลงอักขระคาถาอย่างดีก็อยู่ที่ท่าน รวมทั้งไม้ขับผี ปีศาจ เต่าภายในบรรจุสีผึ้ง วัวธนู ตัวครูและอีกหลายตัวคาดว่าจะหมดไปนานแล้วเหลือแต่ตัวครูพระอุปคุตพระเครื่องและเครื่องรางของท่านเท่าที่พอจำได้ พระสมเด็จเนื้อดิน ผสมว่าน พระนางพญา นางกวัก พระขุนแผน พระปิดตาลอยองค์พระสาม พระตรีกายพิมพ์ใหญ่และเล็ก กุมารทอง เหรียญรูปเหมือน สามรุ่น ทรงไข่จะคล้ายกัน ตะกรุดไม้ไผ่ยอดด้วน ตะกรุดไม้ไผ่ผ่ากอ ตะกรุดโทน ผ้ายันต์ แหวนสวมนิ้ว วัวธนู สีผึ้ง เต่าเรือน ฯลฯ
หลวงพ่อท่านย่นระยะทางได้มีคนเคยเห็นท่านบิณฑบาตในเวลาเดี่ยวกันทั้งใน กันทรารมย์ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ แต่พอถามท่านเงียบไม่พูด สมันนั้นถนนหนทาง เงียบสงบน่ากลัวมาก ทั้งโจร ผกค ศิษย์ท่านจากกรุงเทพฯ ขับรถเก๋งไปขากลับโดนโจรปล้นแต่พอเข้าไปเห็นหลวงพ่อสังข์นั่งในรถด้วย โจรพวกนั้นต่างวิ่งหนีเข้าป่าไปเลย

อาพาธ
ในช่วงนั้นท่านนำชาวบ้านและตัวท่านเองออกไปช่วยก่อสร้างถนนยาวสี่กิโลเมตร ทำให้ฝุ่นปูนดินเข้าไปในปอดเป็นฝ้าเป็นแผล นับแต่นั้นมาท่านก็ล้มป่วยตลอด จนถึงวาระสุดท้ายของท่าน เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2526 ก็จากไปด้วยอาการสงบ เมื่อเวลา 11.00 น. ท่านรู้ตัวว่าจะมรณภาพนอนสงบนิ่งหันหน้าสู่พระพุทธ ยกมือขึ้นไหว้หลวงพ่อสังข์ สุริโย อดีตพระอาจารย์ผู้แก่กล้าวิชาอาคมขลัง เรืองเวท มากไปด้วย บุญญาอภินิหาร พระเครื่องของท่านมีความศักดิ์สิทธิ์ คุ้มครองป้องกันอันตรายต่างๆได้ยอดเยี่ยม ใครที่ยังไม่มี พบเห็นที่ไหนอย่าปล่อยให้ผ่านมือไปล่ะครับรับรองว่าดีแน่นอนถ้าท่านมีไว้ติดตัว
เมื่ออายุควรแก่การศึกษาแล้ว บิดามารดานำไปฝากเรียนจนจบอ่านออกเขียนได้ แล้วออกมาช่วยพ่อแม่ประกอบกิจการทำไร่ไถนา อายุ 17 ปี ได้นำไปให้บรรพชา ณ สำนักบ้านคำเมย ตำบลดูน อำเภอกันทรารมย์ บรรพชาอยู่ 2 ปี จึงได้ลาสิกขาออกมาช่วยพ่อแม่ทำงานชั่วระยะหนึ่ง เมื่ออายุครบอุปสมบทแล้ว บิดามารดาจึงนำไปบวช ณ สำนักบ้านบก ตำบลบก อำเภอกันทรารมย์ ซึ่งมีพระอาจารย์โส เป็นพระอุปัชฌาย์ มีนามฉายาว่า " สุริโย " ได้เล่าเรียนอยู่ในสำนักพระอุปัชฌาย์นานถึง 3 ปี พ.ศ. 2475 ย้ายไปเรียนหนังสืออยู่วัดหนองปลาเข็ง ตำบลบก อำเภอกันทรารมย์ ซึ่งมีพระอาจารย์โต๊ะ เป็นเจ้าสำนักเรียน เป็นเวลา 2 ปี ปี พ.ศ. 2477 ย้ายไปจำพรรษาเล่าเรียนอยู่กับ พระอาจารย์อ้วน โสภโณ สำนักวัดบ้านหนองดินดำ ตำบล - อำเภอเดียวกัน ที่สำนักนี้เอง พระอาจารย์อ้วน ซึ่งนับว่าเป็นเกจิอาจารย์องค์หนึ่งที่มีชื่อเสียง คนเคารพนับถือมาก ได้ถ่ายทอดวิชาอาคมความรู้ต่าง ๆ ให้ และตัวหลวงพ่อสังข์เองก็มีความเคารพนับถือในพระอาจารย์อ้วนมาก ต่อมาท่านทั้ง 2 ได้รับเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรพร้อมกัน ในปีเดียวกัน คือปี พ.ศ. 2512 ( พระอาจารย์อ้วน ได้รับเลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระครูสัญญาบัตรที่ พระครูโสภณคุณากร )
ย้อนหลังไปก่อนที่ท่านจะย้ายมาอยู่วัดนากันตม อำเภอกันทรลักษ์ ได้มีประชาชนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งย้ายมาจากอำเภอกันทรารมย์ ได้มาบุกเบิกทำไร่ไถนากันที่บ้านนากันตมในปัจจุบันนี้ ซึ่งมีพ่อใหญ่สีดา คำดี เป็นหัวหน้า ประมาณ ปี พ.ศ. 2475 - 2476 ในกลุ่มที่มาครั้งนั้น นอกจากพ่อใหญ่สีดา คำดี แล้ว ที่พอจะทราบชื่อคือ พ่อใหญ่สี ด้วงทอง พ่อใหญ่สวน ศรเพ็ชร์ พ่อใหญ่เทพ วารินทร์ พ่อใหญ่โสภา บุญสร้อย และ พ่อใหญ่อ่อนสา บุญพอ ต่อมาทางราชการได้ให้จัดเลือกหาผู้ใหญ่บ้านที่จะมาปกครองดูแลให้ถูกต้องเป็นหมู่บ้าน จึงได้เลือก นายสง่า คำผุย เป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรกของชาวบ้านนากันตม ซึ่งท่านผู้นี้ อดีตเคยรับราชการตำรวจมาก่อน
ครั้นต่อมามีพระอาจารย์องค์หนึ่ง มาจากบ้านหนองบักแซว ตำบลดูน อำเภอกันทรารมย์ ได้มาเยี่ยมญาติโยม ที่บ้านนากันตม ญาติโยมมีศรัทธานิมนต์ให้อยู่เพื่อสร้างวัด หาสถานที่ให้และสร้างกุฏิหลังเล็ก ๆ พออยู่อาศัยได้ไปก่อน พระอาจารย์รูปนี้ชื่อว่า ท่านญาครูทา มาอยู่ไม่นานก็ลากลับไปวัดเดิม ต่อมามีพระอาจารย์อีกรูปหนึ่ง มาเยี่ยมญาติโยมเช่นกันชื่อว่า ท่านญาครูไถ่ มาอยู่จำพรรษาได้ถึง 3 พรรษา แล้วก็ลาสิกขาไป ทางวัดจึงว่างพระลง และในระยะติดต่อกันนี้เอง มีพระอาจารย์สังข์ สุริโย ท่านได้เดินทางมาเยี่ยมโยมพ่อ โยมแม่ ที่ย้ายมาจากบ้านคำเมย ตำบลดูน อำเภอกันทรารมย์ มาตั้งหลักปักฐานที่บ้านนากันตม ชาวบ้านจึงมีความศรัทธาเลื่อมใส ขอนิมนต์ให้ท่านอยู่จำพรรษา ท่านก็รับนิมนต์ ฉลองศรัทธาของญาติโยม แต่ท่านมีข้อแม้อยู่ว่า ถ้าจะให้ท่านอยู่จำพรรษาที่วัดนากันตมนี้ ก็ให้ญาติโยมไปขออนุญาต กราบไหว้ขอจากท่าน พระอาจารย์อ้วน วัดบ้านหนองดินดำก่อน ที่เป็นอาจารย์ของท่าน ให้ถูกต้องตามแบบแผนธรรมเนียมประเพณี ญาติโยมทั้งหลาย หาฤกษ์งามยามดีแล้ว จึงได้เดินทางพากันไปกราบนมัสการขอจากท่านพระอาจารย์อ้วน วัดบ้านหนองดินดำ ตำบลบก อำเภอกันทรารมย์ ญาติโยมที่ไปครั้งนั้นมี พ่อใหญ่อ่อนสา บุญพอ พ่อใหญ่โสภา บุญสร้อย พ่อใหญ่สี ด้วงทอง และ พ่อใหญ่เทพ วารินทร์ เป็นต้น เมื่อพระอาจารย์อ้วน ได้ทราบความประสงค์แล้ว ท่านได้อนุญาตให้ตามความประสงค์จำนงค์หมาย ไม่ขัดข้อง แต่ได้พูดสั่งเตือนกับญาติโยมว่า " ท่านญาครูสังข์นี้ เป็นคนฮ้าย (ดุ) เอาใจยากเลอโยม เป็นคนใจเด็ด จิตใจเข้มแข็ง พูดจริง ทำจริง ตรงไปตรงมา ขอให้ญาติโยม จงคอยเอาอกเอาใจท่านนะ จะได้คนดีไปอยู่นำ ได้พึ่งพาอาศัยเป็นหลักมั่นคงในบวรพระพุทธศาสนาสืบไป " ญาติโยมรับฟังด้วยความปิติยินดีนับถือปฏิบัติตามแล้ว กราบลาท่านมาด้วยความสุขสบายใจยิ่ง พอมาถึงวัดนากันตมก็เข้าไปกราบบอกให้ท่านทราบว่า ได้รับอนุญาตจากท่านพระอาจารย์อ้วน เรียบร้อยดีทุกประการแล้ว ไม่ขัดข้อง
ตลอดระยะเวลาที่พระอาจารย์สังข์ สุริโย ได้ย้ายจากท่านพระอาจารย์อ้วน วัดบ้านหนองดินดำ ตำบลบก มาอยู่วัดนากันตม ตำบลหนองหว้า อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 ท่านก็ได้ทำการบุกเบิกสร้างวัด พัฒนาวัดตลอดมา สร้างกุฏิ โบสถ์ ศาลา เป็นไม้หลังขนาดใหญ่ สามารถรองรับกุลบุตร - ธิดา และประชาชนได้ไม่คับแคบ โบสถ์เป็นครึ่งไม้ครึ่งอิฐ สำหรับกุฏิกับศาลาตอนหลังท่านรื้อไปสร้างโรงเรียนให้เด็กเรียน ต่อมา กุฏิ โบสถ์ ศาลา ท่านสร้างเป็นคอนกรีตทั้งหมด ฉะนั้นสิ่งก่อสร้างในวัดนากันตม ท่านจะเห็นว่าเป็นคอนกรีตทั้งหมด สิ่งก่อสร้างภายในวัดคิดเป็นจำนวนเงินหลายล้านบาท หลายสิ่งหลายอย่าง ยากที่จะเขียนบรรยายลงในที่นี้ได้ มีรูปท้าวเวสสุวรรณหล่อขนาดใหญ่ยืนอยู่หน้าวัด ท่านเขียนเป็นคติไว้ว่า " มาดีมีโชค มาดีมีชัย มาร้ายยักษ์กิน " ด้านหลังวัด มีรูปพระแม่ธรณีมวยผม หมอชีวกโกมารภัทร์ฤาษี วิหารพระและสระน้ำขนาดใหญ่ ทางด้านทิศเหนือหมู่บ้านก็มีสระน้ำขนาดใหญ่ มีเกาะกลางน้ำ บนเกาะสร้างศาลาที่พักผ่อนให้เป็นปอดของหมู่บ้าน แต่ขณะนี้ทำเป็นหอกระจายข่าวสูง 3 ชั้น ตลอดทั้งสถานีอนามัยประจำหมู่บ้าน แท้งค์น้ำคอนกรีตขนาดใหญ่ ต่อท่อประปาไปใช้ที่วัด ตัดถนนหนทาง ทำถนนออกไปสู่ถนนหลวงสายโชคชัย - เดชอุดม ( ถนนหลวงหมายเลข 24 ) เป็นระยะทาง 4 กิโลเมตร ให้การคมนาคมไปมาสะดวก ได้ทำการขอร้องการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคช่วยดำเนินการสร้างไฟฟ้าเข้าสู่หมู่บ้าน ท่านได้ทำทุกอย่างที่จะนำความเจริญมาสู่หมู่บ้าน ที่เราท่านได้รับความสะดวกสบายขณะนี้ ก็เพราะได้อาศัยบุญบารมีของหลวงพ่อที่ทำไว้ แม้แต่สัตว์ นก กา ต่าง ๆ ยังไปอาศัยหลับนอนที่วัด ตามต้นมะพร้าว ที่ท่านปลูกไว้ ในตอนเย็นท่านจะเห็น นก กา เป็นจำนวนนับพันตัว ในวัดท่านร่มรื่นเต็มไปด้วยต้นไม้ ยากที่อื่นจะเสมอเหมือน
ฉะนั้น นับตั้งแต่หลวงพ่อ ได้มาอยู่สร้างสรรค์ให้แก่ศาสนาบ้านเมือง ท่านจึงได้รับการแต่งตั้งดังต่อไปนี้
พ.ศ. 2479 เป็นเจ้าอาวาส วัดนากันตม
พ.ศ. 2493 เป็นเจ้าคณะ ตำบลหนองหว้า อำเภอกันทรลักษ์
พ.ศ. 2494 เป็นพระอุปัชฌาย์
พ.ศ. 2512 เป็นพระครูอุดมวรเวท
ตลอดชั่วชีวิตท่าน ไม่เคยนิ่งเฉยในหน้าที่การงานทำความดี การว่างงานไม่มี บางครั้งต้องจุดตะเกียงทำงาน จะหยุดก็เวลานอน ญาติโยมมาหามาเยี่ยม กลางวันเห็นเงียบไปในห้องนั้น ไม่ใช่ท่านจำวัด แต่ท่านกำลังเขียนตะกรุดคาถา ลงเครื่องราง ของขลัง วัตถุมงคล ไว้แจกให้ลูกศิษย์และญาติโยมที่มีศรัทธา วัตถุมงคลทุกอย่างท่านจะทำเอง ปลุกเสกเอง ทำได้สวยงามถูกต้องตามตำหรับตำรา ทำสิ่งแปลก ๆ ยากที่จะหาเกจิอาจารย์อื่นทำได้เสมอเหมือน วัตถุมงคลของท่านใครได้รับไปคงจะทราบความสำคัญ ความศักดิ์สิทธ์ ถ้าท่านไม่ประมาท มีศรัทธามั่นคง วัตถุมงคลของท่านต่อไปจะหาค่า(บ่)มิได้ เมื่อท่านมีแล้วเก็บรักษาไว้ให้ดี จะนำมงคลมาสู่ท่าน(แน่นอน)
ด้วยเหตุที่ หลวงพ่อไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อน ตรากตรำในหน้าที่การงานมาก ในปี พ.ศ. 2525 - 2526 ท่านได้เริ่มเป็นหวัด มีอาการไอเล็กน้อย ไปตรวจเช็คกับหมอ ฉายเอ็กซเรย์ดู หมอวิเคราะห์แล้วบอกว่า ที่ผนังปอดมีฝ้า คล้ายฝุ่นปูนเกาะจับบาง ๆ ทำให้ระคายเคือง ทำให้มีอากรไอ หมอให้หยุดพักผ่อนให้มาก อย่าทำเกี่ยวกับของที่มีฝุ่น เช่น ปูน ทราย หิน เป็นต้น แต่หลวงพ่อหยุดงานไม่ได้ เสมือนรักงานยิ่งกว่าชีวิตเจ้าของ ฉันอาหารได้เล็กน้อย ทำให้อ่อนเพลียมาก จึงได้นำเข้ารักษาที่โรงพยาบาลจังหวัดอุบลราชธานี และ โรงพยาบาลจังหวัดศรีสะเกษ อาการการก็ไม่ดีขึ้น ต้องทำการรักษาอยู่นาน แต่หลวงพ่อไม่อยากอยู่ จะขอกลับไปรักษาที่วัด ท่านเป็นคนเข้มแข็งและอดทนมาก ในที่สุดก็กลับไปรักษาที่วัดในราวต้นเดือน กรกฎาคม 2526
วันที่ 19 กรกฎาคม 2526 เวลา 11.00 น. เศษ ท่านนอนตะแคงเบื้องขวา เหยียดตัวนิ่ง ดูเหมือนจะเตรียมพร้อมว่า เราจะต้องละสังขารจากโลกนี้ไปแล้ว จะรอต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ขณะนั้นคงจะตั้งสติระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยเป็นอารมณ์ หรือบทใดบทหนึ่งแน่นอน อาการของท่านจึงสงบลงไปด้วยดีทั้ง กาย วาจา ใจ ไม่สะดุ้งสะเทือน การงานเรื่องราวภาระของท่านสุดสิ้นปิดฉากลงแล้ว บารมีที่สร้างสมไว้ในชาตินี้ วินาทีนี้ก็จบสิ้นยุติลง บุญกุศลเท่านั้นที่เป็นเสบียงกรัง นำติดตัวไปในชาติ - ภพ - ภูมิ ข้างหน้าต่อไป
ด้วยอำนาจบุญกุศลและสัมมาปฏิบัติ ที่หลวงพ่อได้บำเพ็ญมา และทุกท่านได้จัดบำเพ็ญอุทิศถวายตลอดมา ตั้งแต่ต้น จนถึงวาระพระราชทานเพลิงนี้ จงสัมฤทธิ์เป็นพรวปัจจัยอำนวนอิฏฐ์วิบุลมนุญผล เป็นปัตตานุโมทนามัย น้อมถวายแด่ ท่านพระครูอุดมวรเวท ( หลวงพ่อสังข์ สุริโย ) ในสุคติสัมปรายภพภูมิ สถิตสถาพรตลอดกาลเป็นนิตย์เทอญ
ท้ายนี้ ขอขอบคุณ คุณครูใหญ่บุญมี ผูกพันธ์ ที่ได้รวบรวมประวัติของหลวงพ่อมาให้ และอาจขาดตกบกพร่องบ้าง หวังได้รับอภัยจากทุกท่าน เพราะได้รีบตีพิมพ์ให้ทันงานคราวนี้
คณะญาติโยมศิษยานุศิษย์
29 มกราคม 2532
คัดลอกจากหนังสือ พิธีชีวิต ซึ่งพิมพ์เป็นที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ พระครูอุดมวรเวท ( หลวงพ่อสังข์ สุริโย ) ณ เมรุวัดบ้านนากันตม อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ 18 - 19 มีนาคม พ.ศ. 2523
อุดมวรเวท หมายถึง ผู้ที่มากด้วยเวทมนต์ คาถาอาคม ชั้นเลิศ สมณศักดิ์ที่หลวงพ่อสังข์ ได้รับพระราชทาน นั้นช่างเหมาะสมกับท่านโดยแท้ สมณศักดิ์ นี้ไม่ใช่ว่าได้มาง่าย ๆ ท่านจะต้องพิสูจน์ให้ทางคณะสงฆ์และลูกศิษย์เห็นและสัมผัสได้จริง ๆ ว่าท่านเป็นเกจิอาจารย์ ที่เหมาะสมจะได้รับพระราชทานสมณศักดิ์นี้
ก่อนที่จะมาเป็นเกจิอาจารย์นั้นท่านจะต้องศึกษาวิชาเกี่ยวกับทางด้านไสยศาตร์ มาอย่างเจนจบก่อนไสยศาสตร์ เป็นวิชาเกี่ยวกับเวทมนตร์ คาถา และ เลขยันต์ ประกอบกับการใช้อำนาจสมาธิจิต การสาธยายเวทมนตร์คาถา การภาวนา และการปลุกเสก
ไสยศาสตร์ หรือ ศาสตร์มืด คือการทำ "คุณไสย" ในพจนานุกรมไทยให้คำจำกัดความ คุณไสย ว่า "เป็นพิธีกรรมเพื่อทำร้ายอมิตร" เป็นศาสตร์ที่ทางวิทยาศาสตร์ไม่อาจจะพิสูจน์ได้ แต่เป็นที่รู้จักกันทั่วไป และมีคนเชื่อและผู้ปฏิบัติทั่วโลก ในแต่ละชุมชนจะมีรูปแบบของไสยศาสตร์ที่แตกต่างกันออกไป แต่สรุปแล้วไสยศาสตร์ก็คือการทำให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น โดยผิดแปลกจากกฏของธรรมชาติ เช่น ทำให้สามีภรรยาที่ดีกันทะเลาะและแยกทางกัน ทำให้สาวหลงรักหนุ่มที่เคยเกลียด ซึ่งปกติแล้วจะใช้ไสยศาสตร์มาใช้ในทางที่ชั่วร้าย โดยเฉพาะการทำ "คุณไสย" ที่เป็นพิธีกรรมเพื่อทำร้ายผู้ไม่เป็นมิตรด้วยการปลุกเสกสิ่งใดสิ่งหนึ่งเข้าไปในตัว หรือฝังรูปฝังรอย หรือการทำเสน่ห์ยาแฝด ลงนะ จากผู้ที่อ้างตัวว่ามีอาคม ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกที่ทำมาหากินด้วยการหลอกลวงผู้คน หรือที่เรียกว่า พวกสิบแปดมงกุฎ ถึงกระนั้นก็ตาม“คุณไสย” หรือ “มนต์ดำ” ยังมีผู้หลงงมงายมากมาย
ไสยศาสตร์ถือเป็นศาสตร์ที่ลี้ลับมีมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ และมีทั่วโลกแม้กระทั่งในเวลาปัจจุบัน แม้รูปแบบจะแตกต่างกัน แต่ก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ การทำอันตรายต่อผู้คนด้วยวิธีที่ลี้ลับ
ลัทธิไสยศาสตร์ คือการรวมอำนาจจิต รวมพลังงานทางจิตซึ่งได้ทำการอบรมจิตใจให้มีความยึดมั่น เชื่อถือ อย่างจริงจัง ดำเนินไปตามหลักทางไสยศาสตร์ ตามวิธีการนั้น ๆ ก็จะสามารถแสดงฤทธิ์ปาฎิหารย์ได้ด้วยกระแสคลื่นแห่งพลังอำนาจจิตอันแรงกล้า ของ มโนภาพ สมาธิ จิตตานุภาพ ทั้งสามประการนี้ จึงเป็นบ่อเกิดแห่งอำนาจที่ประหลาดมหัศจรรย์ขึ้นได้
ลัทธิไสยศาสตร์ ได้เกิดขึ้นมาก่อนพุทธกาล ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ไตรเพท ในลัทธิของพราหมณ์ ได้แบ่งออกเป็น 4 ประเภทคือ
1. ฤคเวทย์ เป็นคำฉันท์ใช้สำหรับสวดมนต์และสรรเสริญพระเจ้า
2. ยชุรเวทย์ เป็นคำร้อยแก้วให้สำหรับท่องบ่นเวลาบวงสรวงบูชาพระเจ้า
3. สามเวทย์ เป็นคำฉันท์ใช้สำหรับสวดมนต์ทำพิธีถวายน้ำโสม
4. อาถรรพเวทย์ เป็นคัมภีร์ประกอบด้วยเวทยมนต์คาถาเรียกผีสาง เทวดาให้ช่วยป้องกันอันตรายให้ และให้มีการแก้อาถรรพ์ ทำพิธีสาปแช่งให้เป็นอันตรายได้ด้วย
อาถรรพเวทย์ในคัมภีร์ไสยศาสตร์ แยกออกเป็น 2 นิกาย คือ
1. นิกายไสยขาว (White System) เป็นวิชาที่ใช้ในทางดี คือช่วยเหลือมนุษย์ให้มีสุขปลอดภัย
2. นิกายไสยดำ (Black System) เป็นวิชาที่ใช้ในทางชั่ว คือทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้อื่น
คัมภีร์แสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์ทางเวทมนตร์ คาถาอาคม ของนิกายไสยขาว มี 8 ประเภท คือ
1. พระเวทย์แก้โรคต่าง ๆ
2. พระเวทย์ประสาน
3. พระเวทย์สะเดาะ เช่น สะเดาะกุญแจและโซ่ตรวน
4. พระเวทย์ป้องกันตัว เช่น คาถาแคล้วคลาด
5. พระเวทย์แสดงปาฎิหาริย์
6. พระเวทย์ทำอันตรายผู้อื่น
7. พระเวทย์แก้ภูติผีปีศาจ เช่น คาถาสะกดวิญญาณ
8. พระเวทย์ทำเสน่ห์ เช่น มนตร์เทพรำจวญ
หลวงพ่อสังข์ วัดนากันตม นั้น เชื่อกันว่า ท่านเรียนวิชาไสยศาสตร์ มาจนเชี่ยวชาญแทบเรียกได้ว่าจบหลักสูตร ท่านน่าจะเก่งพระเวทย์ทั้ง 8 ประเภท แต่เอาที่เห็นกันจะจะสักประเภทหนึ่งที่พระอาจารย์บุญมี ได้สัมผัสมาแล้ว และ เล่าให้ผู้เขียนฟัง คือ ประเภทที่ 8 พระเวททำเสน่ห์
วิชาฝังหุ่น
ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อสังข์ ลงมากรุงเทพฯ มาพักที่วัดสระเกศ กุฎิของ พระอาจารย์บุญมีเช่นเคย ช่วงนั้นหลวงพ่อมีชื่อเสียงมากแล้ว พวกลูกศิษย์ที่เป็น คหบดี นายทหาร นายตำรวจ นายแพทย์ใหญ่ ๆ คุณหญิง คุณนาย ทั้งหลาย ต้องคอยฟังข่าวว่าหลวงพ่อลงมากรุงเทพ ฯ หรือยัง ถ้ามาแล้วก็จะมาพบที่กุฎิพระอาจารย์บุญมี เพื่อให้รดน้ำมนต์ สะเดาะห์เคราะห์ ลงกระหม่อม ปรึกษาหารือเรื่องราว ต่าง ๆ เช่น หาฤกษ์ยามปลูกบ้าน ขึ้นบ้านใหม่ แต่งงาน รวมทั้งขอบูชา วัตถุมงคล เครื่องรางของขลัง เป็นต้น
พระอาจารยบุญมี เล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งมีคุณนายของนายพลตำรวจท่านหนึ่ง มาให้หลวงพ่อทำพิธีเรียกให้สามีกลับมาอยู่ด้วยกัน เนื่องจากช่วงนั้น สามีไปมีภรรยาน้อย และหลงภรรยาน้อยอย่างหนักแทบจะไม่กลับมาบ้านเอาเสียเลย ถ้ากลับมาก็หน้าตาเศร้าหมอง หงุดหงิดง่าย พอทะเลาะกัน ก็พาลหาเรื่องออกจากบ้านไปอยู่กับภรรยาน้อยอีก เธอร้องห่มร้องไห้อย่างหนักกลัวว่าจะเสียสามีไป หลวงพ่อสงสารจึงรับปากว่าจะช่วย และ ให้คุณนายเขียนชื่อและวันเดือนปีเกิดของตนเองและสามีทิ้งเอาไว้ ยังไม่สามารถทำพิธีในวัน นั้นได้ เพราะต้องเตรียมอุปกรณ์สำคัญที่จะใช้ประกอบพิธี 3 อย่างก่อน คือ
1. ขี้ผึ้งปิดหน้าผี อันว่าขี้ผึ้งปิดหน้าผีนั้น ในสมัยก่อนเมื่อมีคนเสียชีวิตโดยเฉพาะผีตายโหงซึ่งเสียชีวิตผิดธรรมชาติ เช่น ประสพอุบัติเหตุถูกรถชนหรือรถคว่ำตาย ถูกยิงตาย ฟ้าผ่าตาย เป็นต้น การเสียชีวิตลักษณะนี้ สภาพของศพจะไม่น่าดู ตามชนบทที่ห่างไกล ไม่มีหมอที่จะแต่งหน้าศพก่อนบรรจุหีบ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการอุจาดตา เขาก็จะนำขี้ผึ้งมาโป๊ะหรือมาพอกหน้าศพเอาไว้ เขาจึงเรียกว่า ขี้ผึ้งปิดหน้าผี เมื่อสัปเหร่อจะทำการเผาเขาจึงจะทำการแกะออกมา
2. ใบรัก ใบรักที่จะใช้ประกอบพิธีนั้น จะต้องเป็นใบรักซ้อน ห้ามใช้ใบรักลา ใบต้นรักที่เขาปลูกและนำดอกมาร้อยพวงมาลัยนั้นใช้ไม่ได้ เพราะนั่นเป็นรักลา จะต้องใช้ใบของต้นรักที่ดอกจะมีลักษณะซ้อนกันหลายชั้น ซึ่งเขาเรียกกันว่าดอกรักซ้อนเท่านั้นจึงจะใช้ได้
3. ด้ายสายสิญจน์ ต้องเป็นด้ายสายสิญจน์ที่ใช้จูงศพ หรือ ใช้ในพิธีศพ
หลวงพ่อใช้เวลาเตรียมอุปกรณ์นานพอสมควร เนื่องจากหาขี้ผึ้งปิดหน้าผีของแท้ยาก มีคนเอาของปลอมมาให้ หลวงพ่อก็ทราบ เมื่อหาได้ครบแล้ว หลวงพ่อก็เตรียมอุปกรณ์โดยใช้ขี้ผึ้งปั้นหุ่น 2 ตัว เป็นหญิงและชาย จากนั้น ก็นำใบรักซ้อนมาเขียนชื่อและวันเดือนปีเกิดของคุณนาย และ สามี ติดไว้ที่หุ่น อย่างละใบ และ ก็รอฤกษ์ยามที่จะทำพิธีซึ่งหลวงพ่อบอกว่า จะต้องทำพิธีเวลากลางคืนดึกสงัดเท่านั้น
และแล้วในคืนวันหนึ่ง พระอาจารย์บุญมี เข้าห้องจำวัดตามปกติ ตกกลางดึกต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงสวดมนต์ที่ยาวนานและดังพอสมควร ฟังไปสักระยะหนึ่งจึงลุกขึ้นมาเพื่อจะไปปัสสาวะ จึงได้เห็นหลวงพ่อสังข์กำลังทำพิธีสวดมนต์และมีหุ่นขี้ผึ้งทั้งสองตัววางอยู่ข้างหน้า เมื่อออกไปปัสสาวะเสร็จแล้วพระอาจารย์บุญมี กลับเข้ามาในห้องจึงถือโอกาสนั่งลงข้าง ๆ เพื่อดูหลวงพ่อทำพิธี และแล้วสิ่งที่ปรากฏต่อหน้า ทำให้พระอาจารย์บุญมีตกตะลึงและตื่นเต้นมาก โดยคาดไม่ถึงว่า วิชาอาคมของหลวงพ่อจะแก่กล้ามากถึงขนาดนั้น เนื่องจากในขณะที่หลวงพ่อสังข์หลับตาสวดมนตร์มิได้หยุดอยู่นั้น เจ้าหุ่นทั้งสองตัวกระดอนจากพื้นไม้กระดานขึ้นลงเป็นจังหวะและค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้าหากัน พระอาจารย์บุญมี อธิบายให้เห็นภาพว่า เหมือนเราขึ้นไปนั่งขย่มบนแคร่ไม้ไผ่ แล้วสิ่งของเล็ก ๆ ที่วางบนแคร่กระดอนขึ้นลงอย่างนั้น จนในที่สุด หุ่นทั้ง 2 ตัว ก็เคลื่อนเข้ามาจนติดกัน หลวงพ่อสังข์ จึงหยุดสวดมนตร์ และ ลืมตาขึ้น เสร็จแล้วหลวงพ่อจึงนำด้ายสายสิญจน์มาผูกหุ่นทั้งสองโดยพันรอบตัวหุ่นหลายรอบและมัดติดกันจนแน่น ในขณะที่มัดหุ่นก็เสกคาถาไปด้วยจนเสร็จพิธี ต่อมาในเช้ามืดวันนั้น หลวงพ่อสังข์ สั่งให้พระอาจารย์บุญมี นำหุ่นทั้งสองที่มัดติดกันอย่างแน่นหนาไปฝังดินไว้ แต่เนื่องจากวัดสระเกศไม่ค่อยจะมีบริเวณที่เป็นพื้นดินมากเท่าไรนักพระอาจารย์บุญมีจึงนำไปฝังไว้ข้างกุฏิของพระมหาอะไร ผมก็จำชื่อไม่ได้เสียแล้ว หลวงพ่อจึงให้พระอาจารย์ส่งข่าวให้คุณนายทราบ ว่าทำพิธีให้แล้ว เดี๋ยวสามีก็คงจะกลับมาแน่นอน อีกต่อมาไม่นาน คุณนายก็มากราบหลวงพ่อ มาถวายเพล ดูหน้าตาสดชื่น บอกว่าท่านนายพลสามีกลับมาแล้ว ขอขอบคุณหลวงพ่อมากที่ช่วยเหลือ หลวงพ่อก็อนุโมทนา คุณนายก็กลับไป
หลังจากนั้นสักประมาณ 5 - 6 เดือน หลวงพ่อสังข์ กลับขึ้นไปวัดนากันตม จังหวัดศรีสะเกษ แล้ว คุณนายก็มาที่กุฏิพระอาจารย์บุญมีอีก เล่าให้ฟังว่า ท่านนายพลกลับไปหาภรรยาน้อยอีกแล้ว คราวนี้ไม่กลับมาบ้านเลย จะมาขอให้หลวงพ่อสังข์ ช่วยอีกครั้ง ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น วันหนึ่ง พระอาจารย์บุญมี เห็นสุนัขมันคาบสิ่งของอยู่ในปากมีเชือกสีขาวคล้ายด้ายสายสิญจน์ลากเป็นทางยาว พอไล่มัน มันจึงคายของในปากจึงเห็นว่าเป็นหุ่นขี้ผึ้งที่หลวงพ่อสังข์ ให้ไปฝังไว้นั่นเอง สภาพที่เห็น หุ่นหักกลางแยกออกเป็นสองท่อน มีด้ายสายสิญจน์พันรอบอยู่และเห็นเพียงแค่ตัวเดียว อีกตัวหนึ่งไม่รู้ว่าหลุดหายไปไหน เมื่อตามไปดูที่จุดฝัง เห็นมีต้นฝรั่งปลูกอยู่แทนที่ สอบถามได้ความว่า พระมหาขุดหลุมปลูกต้นฝรั่งตรงจุดที่ฝังหุ่น ทำให้หุ่นถูกขุดขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจและสุนัขเห็นจึงคาบไปเล่นกระจุยกระจาย ขณะนั้น พระอาจารย์บุญมี รู้สึกใจหายแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร และแล้วไม่นาน คุณนายก็มาจริง ๆ พอพระอาจารย์บุญมี บอกว่าหลวงพ่อสังข์กลับไปศรีสะเกษแล้ว คุณนายก็ยืนยันว่าจะไปพบให้ได้ ขอให้บอกชื่อวัดและเส้นทางที่จะไปวัดให้ด้วย จะให้ตำรวจลูกน้องของนายพลพาไป ดูท่าทางคุณนายจะศรัทธาหลวงพ่อจริง ๆ ว่าจะช่วยได้
หลังจากนั้นก็ไม่เห็นคุณนายมาพบอีกเลย พอเจอหลวงพ่อสังข์ ก็เลยสอบถามเรื่องนี้ หลวงพ่อสังข์ บอกว่า คุณนายให้ตำรวจพาไปหาที่วัดให้ทำพิธีให้ใหม่ คราวนี้ หลวงพ่อให้เอาหุ่นไปฝังไว้ที่ป่าช้าเลยทีเดียว และ หลังจากนั้นก็หายเงียบไปเลย คงจะสำเร็จสมใจคุณนายแล้ว
หลวงพ่อสังข์ ผู้ทรงอภิญญา รู้ภาษาสัตว์
พระอาจารย์ บุญมี ปภัสโร วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ( ภูเขาทอง ) ลูกศิษย์ใกล้ชิดของ หลวงพ่อสังข์ ผู้ซึ่งให้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติของหลวงพ่อ และ การสร้างเครื่องราง ของขลัง แก่ผู้เขียนมากที่สุด พระอาจารย์บุญมี ท่านเป็นชาวอำเภอกันทรลักษ์ บวชกับพระครูสิริกันทรลักษ์ ตั้งแต่เป็นสามเณร เมื่อครั้งที่พระครูสิริ ฯ อยู่ที่วัดศิริวราวาส อำเภอกันทรลักษ์ ต่อมา ท่านจึงได้ย้ายไปอยู่วัดสระเกศ กรุงเทพ ฯ และกลับมาบวชเป็นพระกับพระครูสิริ ฯ อีกครั้งเมื่อท่านพระครูย้ายมาอยู่ที่วัดศรีขุนหาญ อำเภอขุนหาญ
พระอาจารย์บุญมี เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ครั้งหนึ่
ราคา
-
เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ
092-2947899
ID LINE
0922947899
จำนวนการเข้าชม
14,324 ครั้ง
บัญชีธนาคารที่ใช้ยืนยันตัวตน
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา / 676-1-05700-4
ธนาคารกรุงไทย / 312-0-42480-3